สหรัฐอเมริกากับการเมืองภายในประเทศปานามา
นโยบายของสหรัฐฯที่มีต่อละตินอเมริกาภายใต้การบริหารของ โดนัล ทรัมป์ นั้นมุ่งเน้นเพียงเรื่องการเข้าเมืองและความมั่นคงชายแดนและการแก้ไขข้อตกลงการค้าเสรี โดยการประชุมสุดยอดของอเมริกาอาจเป็นผลทางลบสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับละตินอเมริกา เพราะทรัมป์มองว่าภูมิภาคนี้เป็นแหล่งก่ออาชญากรรม มีการค้ายา มีผู้อพยพและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตอยู่ในราคาที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังมองว่าเป็นพื้นที่ที่จีนและรัสเซียเริ่มที่จะมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนของปานามาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2018 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯประกาศว่าได้เรียกคืนเอกอัครราชทูตจากปานามาเอลซัลวาดอร์และสาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นสามประเทศที่เพิ่งตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันและเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแทน การกระทำเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯเริ่มคิดถึงการปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อจีนว่าเป็นความท้าทายเชิงกลยุทธ์ในภูมิภาค และหากการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกคืนเอกอัครราชทูต
สหรัฐฯมีจุดประสงค์เพื่อแสดงความไม่พอใจหรืออาจเป็นการตักเตือน การกระทำนี้ของปานามาอาจเป็นไปได้ว่าจะทำให้สหรัฐฯอาจทบทวนความช่วยเหลือการค้าและการรักษาความปลอดภัยทั่วภูมิภาคเพื่อ "ลงโทษ" ผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับจีนมากเกินไป ในตอนนี้แม้ว่าสหรัฐฯจะเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคละตินอเมริกา แต่แนวทางนโยบายต่างประเทศได้ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความกระตือรือร้นของสหรัฐในการมีส่วนร่วมกับภูมิภาค เพราะในเดือนเมษายน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอเมริกา เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1994 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐไม่ได้เข้าร่วม
การที่สหรัฐฯมีท่าทีเปลี่ยนไป ลดการลงทุนและความช่วยเหลือทางการค้าและความมั่นคงกับภูมิภาคละตินอเมริกายังคงเป็นกังวลอย่างมากสำหรับหลายประเทศโดยเฉพาะปานามา โดยรัฐบาลปานามา คิดว่าปานามานั้นสามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนได้โดยการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองมหาอำนาจสหรัฐฯและจีน เพราะในความเป็นจริงสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลักของปานามาในขณะที่จีนเป็นผู้ส่งออกหลักของการนำเข้า ทั้งสองมหาอำนาจเปรียบเสมือนเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของปานามาที่ต้องการจะรักษาความสัมพันธ์อันดีงามเอาไว้ แต่ความต้องการของปานามานั้นอาจไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในปัจจุบันนั้นกลายเป็นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ การกระทำของปานามานั้นไม่ส่งผลดีต่อสหรัฐ เพราะทางสหรัฐฯได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของปานามาที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการทูตกับปักกิ่ง และยังมีรายงานว่าจีนอาจได้รับอนุญาตให้สร้าง "super‑embassy" บนที่ดินเช่าพิเศษที่สามารถมองเห็นคลองปานามาได้อย่างชัดเจน กล่าวอีกนัยคือในดินแดนที่เคยถูกมองว่าเป็น "สนามหลังบ้าน" ของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ในแถลงการณ์หลังจากการประกาศของสหรัฐฯเกี่ยวกับการดึงนักการทูต นาย Juan Carlos Varela ประธานาธิบดีปานามาได้พยายามที่จะรักษาสมดุลเอาไว้โดยยืนยันสิทธิของปานามาในการตัดสินใจอย่างอิสระในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงคุณค่าของหุ้นส่วนกับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
สรุปได้ว่า การขึ้นมาของทรัมป์นั้นทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป ยิ่งมีสงครามการค้ากับจีนที่ทวีความรุนแรงเป็นส่วนที่สะกิดอเมริกาอยู่ตลอด ส่งผลให้อเมริกามีการกีดกันทางการค้า การลดความช่วยเหลือในด้านต่างๆในภูมิภาคลงเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น และการกระทำของปานามาเองที่ตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันเพื่อประเทศจีนก็ยิ่งทำให้อเมริกาเองไม่พอใจ จึงตัดสินใจดึงทูตกลับ การทูตนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเตือนอีกนัยหนึ่งให้ปานามานั้นคิดทบทวนการกระทำ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐกับปานามาเปราะบาง ในขณะที่มหาอำนาจจีนเองก็เข้ามาอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แต่ปานามาเองก็ยังอยากที่รักษาความสมดุลกับทั้งสองมหาอำนาจเอาไว้ ยังคงให้ความสำคัญกับปานามาเช่นเดิม แต่ถ้าหากอเมริกายังเป็นเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ปานามานั้นโอนเอนไปหาประเทศจีนเรื่อยๆ